วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

ถนน ถนน ที่ผ่านจะไปบ้านของใคร

ที่มาhttp://www.youtube.com/watch?v=hWK-qRaGnaI&feature=related

รอบๆโลก

ที่มาhttp://www.youtube.com/watch?v=RmkzbKaze7c&feature=related

เมืองผู้ดี 1

ที่มาhttp://www.youtube.com/watch?v=bmXmvKm4SYs&feature=relmfu

เมืองผู้ดี 2

ที่มาhttp://www.youtube.com/watch?v=1WPqYVxbkRc&feature=relmfu

เมืองผู้ดี 3

ที่มาhttp://www.youtube.com/watch?v=7Ewjn0oT0zE&feature=relmfu

เมืองผู้ดี 4

ที่มาhttp://www.youtube.com/watch?v=oboLguFbemM&feature=relmfu

เมืองผู้ดี 5

ที่มาhttp://www.youtube.com/watch?v=KcMkxWjOIfI&feature=relmfu

เการัก เกาหลี

ที่มาhttp://www.youtube.com/watch?v=d7j1FKzJ6tc

ประเทศเพื่อนบ้าน

ที่มาhttp://www.youtube.com/watch?v=MCciiHpZfSw&feature=related

Great Barrier Reef

  เกรท แบริเออร์ รีฟ (แนวปะการังใหญ่) Great Barrier Reef 


   แหลมเคปยอร์ค รัฐควีนแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย     
        เป็น "สิ่งก่อสร้างที่มีชีวิต" ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตในทะเลที่สดใส รวมทั้งปะการังชนิดอ่อน และชนิดแข็ง สีสวยกว่า 350 ชนิด ตลอดจนปลา และสิ่งมีชีวิตในทะเลที่น่าพิศวงต่าง ๆ อีก 1500 ชนิด
        แนวปะการังนี้เริ่มตั้งแต่แหลมเคปยอร์ค (Cape York) ซึ่งอยู่ไกลขึ้นไปทางเหนือของรัฐควีนแลนด์ ลงมาถึงบันดะเบอร์ก (Bundaberk) ทางตอนใต้ แนวปะการังอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ อยู่ในความดูแลขององค์การสวนทางทะเล เกรท แบริเออร์ รีฟ (The Great Barrier Reef Marine Park Authority) และครอบคลุมดูแลพื้นที่ 215,000 ตารางไมล์ หรือ 345,000 ตารางกิโลเมตร ของน่านน้ำรอบ ๆ แนวปะการัง เป็นสวนทางทะเลที่ใหญ่ทีสุดในโลกสิที่ได้รับการดูแลและปกป้องอย่างดี
        แนวปะการังซึ่งดูเหมือนกับป่าใต้น้ำนี้ เจริญเติบโตในเขตทะเลร้อน กระแสน้ำอุ่น และเป็นที่อยู่อาศัยอย่างหนาแน่นของชีวิตสัตว์ทะเลที่ต่าง ๆ กันได้แก่ ฟองน้ำ 10,000 ชนิด ปะการัง 350 ชนิด หอย 4,000 ชนิด ปลาดาวและซี เออร์ชิน (Sea Urchin)ซึ่งเป็นสัตว์ประเภทคล้ายหอย 350 ชนิด และปลามากกว่า 1,500 ชนิด นักดำน้ำประมาณว่าจะต้องดำน้ำถึงพันครั้งทจึงจะได้เห็นจุดเด่นของปะการังแห่งนี้ทั้งหมด

        สำหรับนักเดินทางที่ไม่ถนัดเรื่องกีฬาดำน้ำ ก็ไม่ต้องตระหนกตกใจจนไม่กล้าไปเยือน เพราะเขามีวิถีทางชื่นชมความงามของสวนใต้น้ำต่าง ๆ กันไป เช่น มีเรือท้องกระจก หรือเรือกึ่งเรือดำน้ำ โดยไม่ต้องกระโดดลงไปในทะเลตัวเปียกปอนเปล่า ๆ หรือถ้าไม่เชี่ยวชาญการดำน้ำแบบใช้ท่อออกซิเจน แค่ดำน้ำใช้ท่อหายใจทางปากอย่างที่หลายคน โดยเฉพาะเด็ก ๆ ใช้กันธิคุณก็จะมีโอกาสได้เพลิดเพลินกับความประหลาดมหัศจรรย์ของแนวปะการัง
       บริเวณพื้นที่แนวปะการังและเกาะควีนแลนด์ ซึ่งมีพื้นที่กว้างไกลกว่า 1,562 ไมล์ หรือ 2,500 ก.ม. มีแนวปะการังมากกว่า 2,900 แนว รวมทั้งมีเกาะขนาดต่าง ๆ กันและเกาะที่เกิดจากการรวมตัวของแนวปะการังอีกหลายร้อยเกาะ แนวปะการังใหญ่นี้ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนชัดังนี้
       แนวปะการังเหนือ (Northern Reef)
       หมู่เกาะวิทซันเดย์ (Whitsunday Island)
       แนวปะการังใต้ (Southern Reef)
        ด้วยความเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติขนาดมหึมา จึงได้รับการพิจารณาจากองค์การ UNESCO ให้อนุรักษ์เป็นมรดกโลก (World Heritage List) และอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ทางระบบนิเวศซึ่งมรดกโลกมหึมานี้ยังเป็นที่อยู่ให้กับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ อีกทั้งปลา หอย งู ปลาวาฬ เต่า รวมแล้วมากกว่า 6,000ยชนิดนอกจากนี้ยังพบว่าเป็นบริเวณที่มีพยูนอาศัยมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย


 

ที่มา http://www.thaigoodview.com/node/14415 และ http://www.youtube.com/watch?v=W20oCbnJ2LI
 ปอมเปอี   Pompeii 

   ประเทศอิตาลี        

        ปอมเปอี เป็นเมืองโบราณสมัย 2,000 ปีมาแล้ว อยู่ที่เชิงภูเขาไฟวิสุเวียส ประเทศอิตาลี ซึ่งถูกภูเขาไฟลูกนี้ระเบิดเอาดินโคลน เถ้าถ่าน และหินละลายทับถมจมลงไปในดินในชั่วเวลาไม่กี่นาทีเมื่อ พ.ศ.662 ประชาชนนับหมื่นต้องถูกฝังทั้งเป็นตายด้วยความทุกข์ทรมานโดยที่ไม่มีใครมีโอกาสหนีรอดออกมาได้เลย และหลังจากนั้นปอมเปอีก็ถูกลืมไปจากความทรงจำของชาวโลก

        ต่อเมื่อได้มีการฟื้นฟูศึกษาประวัติศาสตร์โบราณขึ้นชื่อปอมเปอีจึงถูกค้นพบ แต่ก็ไม่มีใครทราบได้ว่าเมืองนี้อยู่ที่ไหน จนกระทั่ง พ.ศ. 2291 จึงได้พบร่องรอยของซากเมือง และมีการขุดค้นกันเมื่อก่อนหน้ามหายุทธสงครามโลกครั้งที่ 2 เล็กน้อย เมื่อรื้อดินที่ทับถมออกมาหมดแล้ว ก็พบซากเมืองที่ใหญ่โต และสร้างด้วยหินอย่างแข็งแรง บางแห่งพบซากชาวปอมเปเอียนและสัตว์เลี้ยงของเขาที่ตายและกลายเป็นหิน ซึ่งคงอยู่ในสภาพเกือบเหมือนเดิมทุกประการ แต่ทว่าจากภาพนั้น จะเห็นลักษณะของความหวาดกลัวต่อความตายได้เป็นอย่างดี บางคนนั่งเอามือปิดหน้าตาย และบางคนซบหน้ากับกำแพงบ้านตายก็มี ปอมเปอีจึงได้ชื่อว่า ซากเมืองแห่งความตาย


วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

ท่องยุโรป

                            พระราชวังแวร์ซายส์   Palace of Versailles  


   กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
    
          เป็นพระราชวังที่สวยงามมากสร้างขึ้นโดย พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส มีนายช่างสถาปนิก อัลเดรด เลอ นอสเตอร์ เป็นผู้ออกแบบ ลงมือสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2204 (ค.ศ. 1661) สร้างอยู่นาน เวลา 30 ปี สิ้นเงินค่าสร้าง 500,000,000 ฟรังก์ ใช้คนงาน 30,000 คน ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างและศิลปกรรมก่อสร้างที่งดงามมาก

        ภายในพระราชวังแบ่งออกเป็นห้องต่างๆ เช่น มีห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ห้องทรงพระอักษร ห้องโถง ห้องออกว่าราชการ ฯลฯ แต่ละห้องมีเครื่องประดับมีค่ามากมาย ทั้งวัตถุ และ ภาพเขียนศิลปะที่มีชื่อเสียง ห้องที่มีชื่อที่สุด คือ ห้องกระจกที่เคยใช้ลงนาม เซ็นสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตร กับเยอรมัน ในคราวมสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นที่ใช้ลงนามในเมื่อเยอรมันบุกตีชนะฝรั่งเศส ในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ในการทำสงครามใหญ่ทุกครั้งฝรั่งเศส จึงต้องประกาศให้ปารีสเป็นเมืองปลอดทหารคือ ไม่มีทหารตั้งอยู่ ไม่มีการต่อสู้ใด ๆทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อรักษาไม่ให้พระราชวังแห่งนี้ ต้องได้รับความเสียหายจากการโจมตี ของข้าศึกไม่ว่าโดยทางใด ทุก ๆ ปีจะมีนัก ปจจุบันเป็นสถาปัตยกรรมมีค่าที่สุดของฝรั่งเศส และโลก ที่มีนักท่องเที่ยวไปชมความงามไม่น้อยกว่า 1,000,000 คน ต่อปี
ที่มา http://www.thaigoodview.com/node/10157

Amazing Land แดนมหัจรรย์




















ที่มาhttp://play.kapook.com/photo/show-123768

ชาวไต้หวันแต่งงานหมู่บนเกาะสมุย รักครั้งนี้มีความทรงจำกับ “มะพร้าว”

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานไทเป (ททท.ไทเป) ได้จัดงานแต่งงานริมชายหาด ณ เกาะสมุยขึ้น ภายใต้โครงการ “ไป่เหนียนห่าวเหอ” หมายถึงการครองรักยาวนานนับ 100 ปี โดยครั้งนี้มีคู่แต่งงานมาร่วมพิธี 15 คู่ โดยมีคู่ดารายอดนิยมจากไต้หวัน “วินนี่ เหอ” (เหอ หยี เหวิน) ในวัย 35 ปี ครูสอนโยคะกับแฟนหนุ่ม บินมาร่วมด้วย ซึ่งทั้งคู่มีกำหนดการแต่งงานจริงในเดือนมิถุนายนนี้ที่ประเทศบ้านเกิด

งานสมรสหมู่คู่บ่าวสาวชาวไต้หวันในครั้งนี้ ใช้สถานที่ของศูนย์วัฒนธรรมดุสิตเทวาจัดทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ เริ่มต้นด้วยขบวนขันหมากแบบไทยๆ และเพื่อให้คงกลิ่นอายของความเป็นสมุย ขบวนขันหมากเลือกใช้บ้านไม้โบราณอายุกว่า 100 ปี ซึ่งถือเป็นที่พักอาศัยที่เก่าแก่ที่สุดของเกาะสมุย เป็นจุดเริ่มต้นให้เจ้าบ่าวชาวไต้หวันแห่ขบวนขันหมาก พร้อมเหล่าชาวบ้านบนเกาะช่วยกันร้องรำหน้าขบวนกลองยาวผ่านสองข้างทางที่รายล้อมไปด้วยสวนมะพร้าว แต่ละคนสวมผ้าถุงปาเต๊ะผืนใหม่กับเสื้อลูกไม้สีขาวชุดพื้นถิ่นซึ่งสาวชาวเกาะนิยมใส่ในงานบุญและงานพิธีสำคัญขณะเดียวกันคู่บ่าวสาวชาวไต้หวันได้แต่งกายด้วยชุดผ้าไหมไทยแบบไทยประยุกต์

พิธีที่แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์เริ่มต้นเมื่อคู่บ่าวสาวได้ฟังพระสวดให้ศีลให้พร เสร็จแล้วจึงมารับน้ำสังข์พร้อมสวมมงคลจากผู้ใหญ่บนเกาะสมุย อาทิ จำนงค์ จุณณปิยะ ผอ.ททท.ภาคเอเชียตะวันออก, สุวรรณชัย ฤทธิรักษ์ ที่ปรึกษา 10 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), พสิษฐ์ตา อินทร์พันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.ไทเป, ประเสริฐ จิตมุ่ง นายอำเภอเกาะสมุย และวัลวลี ตันติกาญจน์ นายกสมาคมสปาสมุย เป็นต้น พร้อมกับร่วมรับประทานอาหารกลางวัน ประกอบไปด้วยเมนูพื้นบ้านที่แฝงไปด้วยความเป็นมงคล อาทิ หมี่ผัด กาละแม ขนมหวานรวมมิตร รวมทั้งมังคุดและลางสาดซึ่งเป็นผลไม้ท้องถิ่นของสมุย โดยมังคุดดูจะเป็นอาหารที่เหล่าคู่บ่าวสาวชื่นชอบและประทับใจมากที่สุด

หลังจากรับประทานอาหารอย่างอิ่มอร่อยแล้ว เหล่าคู่แต่งงานได้ร่วมปลูกต้นมะพร้าวบริเวณชายหาดในโครงการปลูกต้นมะพร้าวแถวแรก ทั้งนี้เนื่องจากต้นมะพร้าวบนเกาะสมุย ถือว่าเป็นสัญลักษณ์การท่องเที่ยวของเกาะสมุย และยังมีความหมายโดยนัยว่าเป็นต้นไม้แห่งความรักความทรงจำที่ครั้งหนึ่งเคยจัดพิธีมงคงสมรสบนเกาะสมุย ดินแดนที่เต็มไปด้วยมะพร้าว

ทั้งนี้ วินนี่ เหอ และแฟนหนุ่ม เล่าว่า ก่อนหน้านี้ คู่ของตนได้พบรักกันที่เมืองไทย การได้มีโอกาสมาร่วมพิธีแต่งงานที่เมืองไทยถือว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง พิธีต่างๆ ในการแต่งงานของประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน ประทับใจเมืองไทยมากเพราะเป็นสถานที่ที่ได้มาพบรักและสานต่อจนมาได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน และยังประทับใจความมีน้ำใจของคนไทย ส่วนสถานที่ของเกาะสมุยที่ประทับใจเป็นพิเศษคือความสวยงามของชายหาด หลังแต่งงานแล้ววางแผนจะมาฮันนีมูนที่สมุยและกระบี่ต่อไป

ด้าน พสิษฐ์ตา อินทร์พันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.ไทเป กล่าวว่า “กิจกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวแต่งงาน-ฮันนีมูน เป็นนโยบายการทำงานเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของแต่ละพื้นที่ ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาชาวไต้หวันมีค่านิยมไปแต่งงานนอกสถานที่เพื่อหาประสบการณ์ และนิยมแต่งงานแบบฝรั่ง ประกอบกับปีนี้เป็นปีมังกรทอง คนเชื้อสายจีนเชื่อว่าเป็นปีที่ดี เพราะในรอบ 1,200 ปีจะเกิดขึ้นสักครั้ง ททท.ไทเปจึงเชิญชวนหันมาแต่งงานแบบไทยบ้าง โดยบอกเล่าว่าประเพณีแต่งงานละภาคของไทยมีศิลปวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่ล้วนเป็นมงคลกับชีวิตคู่ทั้งสิ้น ที่ผ่านมาได้จัดงานแต่งงานแบบบะบ๋ายะหยาที่จ.ภูเก็ต และการแต่งงานแบบล้านนาที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งคู่แต่งงานที่กลับไปต่างบอกว่าประทับใจในความมีน้ำใจของคนไทย โดยเฉพาะที่จ.เชียงใหม่หลังจากจัดงานแต่งงานไปแล้ว ยังมีคู่รักสอบถามมามากมาย

สมุยนั้นมีจุดเด่นที่มีชายหาดสวยงาม ตลอดจนการแต่งกาย การแสดงมโนราห์ ชาวไต้หวันชอบทะเล แม้ที่ไต้หวันบ้านเกิดของเขาจะมีทะเล แต่เล่นน้ำไม่ได้ ประเพณีแต่งงานครั้งนี้เป็นแบบภาคใต้กึ่งภาคกลาง และยังมีขนมมงคลคือ กาละแม อันเป็นสัญลักษณ์แทนถึงความรักที่เหนียวหนึบ ซึ่งได้จัดทำเป็นของที่ระลึกให้กับคู่บ่าวสาวด้วย”

อย่างไรก็ตาม แม้คู่แต่งงานครั้งนี้จะน้อยกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ผู้อำนวยการสำนักงานททท.ไทเป ให้เหตุผลว่า ช่วงนี้ของสมุยถือว่าเป็นช่วงไฮซีซั่น ตั๋วเครื่องบินเต็ม รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น แต่การที่จะเลื่อนวันแต่งงานไปในช่วงอื่นก็ไม่เหมาะสมเพราะวันเวลาดังกล่าวเป็นวันดี อีกทั้งในช่วงเดือนมีนาคมอากาศที่สมุยจะร้อนมาก อาจจะสร้างความหงุดหงิดให้กับชาวไต้หวันที่คุ้นชินกับอากาศที่หนาวเย็น จนทำให้งานแต่งงานไม่น่ารื่นรมย์ก็เป็นได้ ทั้งนี้ ททท.วางเป้าหมายส่งเสริมการท่องเที่ยวสมุยสำหรับชาวไต้หวัน โดยเน้นตลาดบนเป็นแบบมินิกรุ๊ป ระหว่าง 4 - 10 คน ขณะนี้ เกาะสมุยกำลังเป็นแหล่งท่องเที่ยวทอล์คออฟเดอะทาวน์ในไต้หวัน เนื่องด้วยส่วนใหญ่ชาวไต้หวันจะนิยมมาเที่ยวกรุงเทพ พัทยา เชียงใหม่ และภูเก็ต เป็นต้น สำหรับการจัดงานแต่งงานหมู่ครั้งนี้ คาดว่ามีเงินสะพัด 1,500,000 บาท โดยการจัดงานครั้งนี้ร่วมกับบริษัททัวร์ในไต้หวันและบริษัทการบินไทย จัดทำแพคเกจทัวร์ราคาพิเศษ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และได้เชิญสื่อมวลชนจากประเทศไต้หวันมาร่วมเป็นสักขีพยานด้วยในงานแต่งงานหมู่ครั้งนี้ด้วย

สุวรรณชัย ฤทธิรักษ์ ที่ปรึกษา 10 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวเสริมว่าการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวแต่งงาน-ฮันนีมูน ก่อให้เกิดนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ เป็นกิจกรรมที่สร้างความทรงจำด้านการท่องเที่ยวที่ดี ใครที่มาประกอบพิธีมงคลสมรสสักครั้งหนึ่ง ณ สถานที่แห่งหนึ่งในประเทศไทย จะนำไปสู่การบอกเล่าสู่ลูกหลานถึงประเพณีวัฒนธรรม ในอนาคตจะก่อให้เกิดกิจกรรมการมาเยือนสถานที่แห่งความทรงจำ ตรงกับแคมเปญการท่องเที่ยวที่ว่า “เที่ยวหัวใจใหม่เมืองไทยยั่งยืน” ทำให้แหล่งท่องเที่ยวนั้นมีความยั่งยืนและถ่ายทอดไปถึงคนอื่นได้


“กิจกรรมที่เพิ่มคือการปลูกมะพร้าว อันเป็นสัญลักษณ์ของเกาะสมุย ทำให้คู่บ่าวสาวรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เป็นประสบการณ์ชีวิต สิ่งเหล่านี้กำลังเป็นกระแสด้านการท่องเที่ยว ที่แต่ละสำนักงานท่องเที่ยวแต่ละแห่งต้องศึกษาด้านมานุษยวิทยา ความเชื่อ ตลอดจนความรู้สึกของผู้คนในภูมิภาคนั้นๆ แล้วจึงจัดกิจกรรมที่เหมาะสมให้”

ในปีที่ผ่านมาชาวไต้หวันมาเยือนเมืองไทยปีละ 450,753 คน สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยปีละ 9.2 ล้านบาท โดยเฉลี่ยนักท่องเที่ยวใช้เวลาอยู่เมืองไทยราว 1 สัปดาห์ ใช้จ่ายเงินวันละประมาณ 4,200 บาท กิจกรรมท่องเที่ยวแต่งงาน-ฮันนีมูนจะเป็นตัวช่วยอีกแรงที่จะเชิญชวนให้คนไต้หวันมาเยือนเมืองไทยมากขึ้นและเป็นโอกาสสำคัญที่จะเผยแพร่ประเพณีไทยไปสู่ชาวต่างชาติอีกด้วย

ที่มา http://www.newswit.com/life/2012-03-30/e2880adb9f7b413a245e5606fd6a2c84/

กุ้ยหลิน "สวรรค์บนพิภพ"

กุ้ยหลิน เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน ภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาหินปูนรูปร่างแปลกตามากมายชื่อกุ้ยหลินมาจากที่อดีตดินแดนนี้มีป่า (หลิน) ต้น “กุ้ยฮวย” เยอะ (ต้นกุ้ยฮวย ในภาษาจีน แปลเป็นไทยคือ ต้นขี้เหล็ก)คนจีนยกให้เป็นดัง “เมืองสวรรค์บนพิภพ”หรือ“ซื่อไหว้เถาหยวน” ด้วยความที่เป็นเมืองแห่งขุนเขา ทำให้เขาหลายๆลูกในเมืองนี้มีลักษณะพิเศษรูปร่างแปลกตา โดยเขาที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองก็คือ “เขางวงช้าง” "นครกุ้ยหลิน" บนพื้นที่ประมาณ 656 ตารางกิโลเมตร ประชากรกว่า 700,000 คน เป็นหนึ่งในหลายเมืองของมณฑลกวงสีหรือกวางสี ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ได้รับการกล่าวขานจากนักท่องเที่ยวว่าเป็น "สวรรค์บนดิน" แม้ "กุ้ยหลิน" จะใช้เวลาเพียง 7 ปี ทำให้ทุกคนได้รู้จักและชอบที่จะเข้าไปสัมผัสกับธรรมชาติที่ถูกปรุงแต่งขึ้นให้เป็นสวรรค์บนดินของนักท่องเที่ยว ยังคาดกันว่าในอนาคตสวรรค์บนดินแห่งนี้จะยิ่งเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากขึ้น รวมทั้งนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยด้วย ทางการท่องเที่ยวที่ดูสมบูรณ์แบบมากกว่าหลายเมืองในประเทศไทย และภาคเหนือตอนบนที่ว่านี้ อาทิ ทัศนียภาพของลุ่มน้ำลี่เจียง และแม่น้ำหลี่องหยางซั่ว หรือหยางโซ่ว ถ้ำ และภูเขา ตลอดจนการพัฒนาด้วยการวางผังเมืองก่อนลงมือสร้าง จึงทำให้ทุกระบบของเมืองถูกปรุงแต่งให้มีความสอดคล้องกันตามจินตนาการให้เป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว เพียงแต่สวรรค์ที่ว่านี้ตั้งอยู่บนดิน ที่มนุษย์ทุกคนสามารถไปถึงได้และได้รับความสุขทั้งกาย ใจ และความรู้สึกเมื่อได้สัมผัส ทั้งเขาเขียว ถ้ำสวย น้ำใส และหินแปลก นครกุ้ยหลินจึงเป็นสวรรค์บนดินสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่อาจปฏิเสธได้จริงๆ


สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เช่น
เขางวงช้าง (Elephant Trunk Hill)
เป็นสัญลักษณ์ของเมืองกุ้ยหลิน ตั้งอยู่ในตัวเมืองบริเวณจุดบรรจบของแม่น้ำ 2 สาย ได้แก่ หลีเจียงและถาวฮวาเจียง ( หยางเจียง ) เขางวงช้างมีรูปร่างหากมองจากมุมที่เหมาะจะเห็นเหมือนช้างกำลังใช้งวงดูดน้ำจากแม่น้ำหลีเจียง มีถ้ำลอดระหว่างงวงและขาหน้าของงวงช้างเป็นรูปทรงกลม มองดูคล้ายพระจันทร์กำลังตกน้ำยามพลบค่ำ ถ้ำนี้จึงมีชื่อว่า “ สุ่ยเย่ ” หรือพระจันทร์บนผิวน้ำ เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นหน้าขึ้นตาของเมือง

ถ้ำขลุ่ยอ้อ (Reed Flute cave)
ถ้ำขลุ่ยอ้อ มีชื่อภาษาจีนกลางว่า “ หลูตี๋ ” ตั้งอยู่ชานเมืองกุ้ยหลิน อยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 5 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 240 เมตร มีบันไดขึ้นไป 60 ขั้น ที่มาของชื่อถ้ำมาจากต้นอ้อที่ขึ้นอยู่ด้านหน้า ในอดีตใช้ทำขลุ่ย ทางเดินภายในค่อนข้างแคบ มีหินงอกหินย้อยงดงามตลอดทาง มีไฟสีสาดไปตรงส่วนที่มีรูปร่างคล้ายอะไรบางอย่าง เช่น สิงโต คน น้ำตก เจดีย์ ฯลฯ ส่วนที่สวยที่สุดคือวังแก้วแห่งราชามังกร เป็นหินงอกขึ้นมาจากบริเวณที่มีน้ำซับ ดูแล้วเหมือนทัศนียภาพของเมืองกุ้ยหลินแถบแม่น้ำหลีเจียง

สวนเจ็ดดาว (Seven Star Park)
ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองลั่วหยาง ประมาณ 7 ไมล์ มีความเป็นมาดังนี้เมื่อปี ที่ 64 ของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (25-220 ก่อนคริสตศักราช) ฮ่องเต้ หมิง ได้ส่งผู้แทนไปศึกษาพระพุทธศาสนาทางโลกตะวันตก จากนั้นสามปีต่อมา พระเกจิชื่อดังของอินเดียได้เดินทางกลับมาพร้อมกับผู้แทนโดยทั้งสองได้จูงม้าขาวที่แบกพระไตรปิฎก และพระพุทธรูป นี่เป็นครั้งแรกที่พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในประเทศจีน นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับความสงบร่มรื่นในบริเวณวัด ที่นี่เป็นแหล่งที่รวบรวมสถาปัตยกรรมอันมีค่า อายุกว่า 1900 ปี ประกอบด้วย ห้องบัญชาการฮ่องเต้ ห้องประดิษฐานพระพุทธรูป ห้องสำหรับฟังธรรมเทศนาและระเบียงเรียบด้านหลังวัดที่เชื่อว่าเป็นจุดที่ม้าขาวได้แบกพระพุทธรูปและพระสูตรจากอินเดีย พร้อมๆ กับพระเกจิจากอินเดียทั้งสองรูปได้แปล พระสูตรเป็นภาษาจีนซึ่งทำให้ที่แห่งนี้เป็นแหล่งกำเนิดของพระพุทธศาสนาในประเทศจีน

แม่น้ำหลีเจียง ( Li River)
หลีเจียง มีต้นน้ำมาจากเขาลูกแมวหรือที่ชาวจีนเรียกว่า “ มาวเอ๋อ ” ในเขตอำเภอซิงอ่านเมืองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกวางสี ไหลลดเลี้ยวหลบหลีกขุนเขา ผ่านเมืองกุ้ยหลินถึงอำเภอหยางซั่วรวมความยาว 431 กิโลเมตร โดยมีชื่อใหม่ ช่วงต่อจากนั้นว่า กุ้ยเจียง ไหลเข้าสู่ชายแดนที่อำเภออู๋โจวเข้าสู่ทิศตะวันตก ของมณฑลกวางตุ้งที่เมืองเฟิงคาย มีชื่อใหม่ในกวางตุ้งว่า แม่น้ำตะวันตกหรือซีเจียง ไฮไลต์ของการมาเที่ยวที่กุ้ยหลินนี้อยู่ที่การล่องแม่น้ำหลีเจียง ที่มีความยาวกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อชมทิวทัศน์ที่สุดงดงามของภูเขาหิน ทั้งนี้โดยปกติแล้วการล่องแม่น้ำหลีเจียงเพื่อการท่องเที่ยวจะทำกันในระยะเวลา 60 กิโลเมตรโดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ด้วยเรือ 3 ชั้น ที่สองชั้นล่างจะทำเป็นโต๊ะอาหาร ขณะที่ดาดฟ้าจะเปิดโล่งให้นักท่องเที่ยวชมทิวทัศน์กันได้อย่างอิสระ ในราคาประมาณ 270 หยวน ( ราวพันกว่าบาท ) จุดหมายของการล่องเรือจะอยู่ที่เมือง หยางซั่ว (Yang-Shou)

หยางซั่ว ( Yangshuo)
ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองกุ้ยหลิน ห่างไปประมาณ 65 กิโลเมตร เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์สวยงาม จนมีคำกว่าวว่า “ หากกุ้ยหลินเป็นเมืองที่สวยที่สุดในจีน หยางซั่วก็เป็นที่ ที่สวยที่สุดในกุ้ยหลิน ” การเดินทางไปเมืองหยางซั่ว ทำได้ทั้งการล่องแม่น้ำหลีเจียง หรือโดยรถยนต์ หยางซั่ว เจริญเติบโตเพราะการท่องเที่ยว ทั้งหมู่บ้านแทบไม่มีสถานที่น่าสนใจ นอกจากร้านขายของ ร้านอาหาร และโรงแรม แต่รอบๆบริเวณเมืองหยางซั่ว มีสถานที่น่าเที่ยวชมหลายแห่ง นับว่าเป็นสวรรค์บนดิน ที่มีชื่อเสียง จนนักท่องเที่ยวมากุ้ยหลินแล้วต้องแวะ มาที่ หยางซั่ว ด้วย เนื่องจากการเดินทางโดย รถยนต์ที่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที หรืออาจจะนั่งเรือชมทัศนียภาพของหลีเจียง แล้วมาพักแรมที่หยางซั่ว ที่นี่จะสงบเงียบ เหมือนชนบท แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวก อย่างพรั่งพร้อมแก่ นักท่องเที่ยว ในราคาถูก ซึ่งจะมีย่านซึ่งประกอบไปด้วย ที่พักราคาถูก มีวิดีโอหนังฮอลลีวู้ดฉาย พร้อมร้านอาหารคาเฟ่ สไตล์ตะวันตก มีขนมแพนเค็ก พร้อมกาแฟ เพียงแต่ลูกค้ามีแต่ชาวต่างชาติเท่านั้น

        โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวแบบเป้ใบเดียว หรือเรียกว่า backpacker ชอบนักแล ทั้งยังสามารถเช่าจักรยาน ขี่เที่ยวเล่นชมแหล่ง ท่องเที่ยว อื่นๆ ข้างเคียง กิจกรรมที่พลาดไม่ได้ประการหนึ่งคือ การนั่งเรือท่องแม่น้ำหลีเจียง เส้นทางเรือจากกุ้ยหลินถึงเมือง หย่างซั่ว เป็นระยะทางประมาณ 40 ไมล์ ( 60 กิโลเมตร ) ตลอดทางคดเคี้ยวของแม่น้ำหลี่ คือ ภูเขาน้อยใหญ่ที่มีรูปร่างแปลกตา กระตุ้นจินตนาการของผู้คนดังเห็นได้จากชื่อ เขางวงช้าง เขาตาเฒ่า เขาเจีดย์ และเขารู ภาพชาวประมง นกกาน้ำ และเพื่อนร่วมงานในแพไม้ไผ่แคบๆ

อิ่ม มนต์ รัก 1

Eat Pray Love อิ่ม มนต์ รัก 1/4 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

ที่มา http://video.mthai.com/player.php?id=23M1296148698M0

อิ่ม มนต์ รัก 2

Eat Pray Love อิ่ม มนต์ รัก 2/4 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

ที่มา http://video.mthai.com/player.php?id=23M1296232013M0

อิ่ม มนต์ รัก 3

Eat Pray Love อิ่ม มนต์ รัก 3/4 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

ที่มา http://video.mthai.com/player.php?id=23M1296238105M0

อิ่ม มนต์ รัก 4

Eat Pray Love อิ่ม มนต์ รัก 4/4 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

ที่มา http://video.mthai.com/player.php?id=23M1296318183M0